Automator : เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้เราเขียนโปรแกรมขึ้นมา(อีกที)เพื่อทำงานตามที่เราต้องการได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเขียน code เองครับ หลัก ๆ จะเป็นประมาณนี้ คือเรานำ code (เรียกว่า action) ที่ทาง apple เขียนเสร็จมาให้แล้วมาเรียงต่อกันเพื่อสร้างเป็นชุดคำสั่ง (workflow) ที่เราต้องการอีกทอดหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะสะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมครับ
ส่วนใหญ่มีไว้เพื่อการทำงานเสริม จะเป็นการทำงานเล็กน้อย หรือซ้ำ ๆ กันแบบอัตโนมัติผ่าน app ต่าง ๆ ขึ้นมาโดยที่เราไม่ต้องเรียนรู้การเขียนโปรแกรมหรือว่าเรียนรู้การเขียน Apple Script.. จะใช้สำหรับการทำงานเฉพาะอย่าง หรือทำงานหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ เช่น
note : ถ้าใครยังงง ๆ อยู่ สามารถอ่าน Automator : ตัวอย่างจากสถาณการณ์จริง ใช้ Automator ทำอะไรได้บ้าง? ประกอบนะครับ ผมเขียนตัวอย่างประกอบแบบละเอียดเอาไว้ให้แล้ว
ตัว Automator เป็นโปรแกรมที่ค่อนข้างจะยืดหยุ่นในการใช้งานพอสมควร ที่เราจะใช้งานผ่านโปรแกรม Automator เอง หรือจะ save เป็นโปรแกรม scriptสำเร็จรูปเก็บเอาไว้เรียกใช้งานทีหลังต่างหากก็ได้ ซึ่งผมจะเขียนอธิบายตรงนี้อีกที สำหรับโพสนี้สำหรับรู้จักกับ Automator ในภาพรวมนะครับ (อ่าน การ save workflow ไปใช้งานในลักษณะต่าง ๆ ประกอบ)
ไอคอนโปรแกรม
note : เนื้อหาของบทความเกี่ยวกับ Automator นี้ ผมเลือกจะเขียนเกี่ยวกับ Concept การใช้งานคร่าว ๆ พร้อมตัวอย่างประกอบในแบบไม่เป็นทางการมากนัก ใช้คำง่าย ๆ ที่คาดว่าผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่เคยจับตรงนี้มาก่อน น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากจนเกินไปนัก ผมหมายถึงแค่เอาความเข้าใจในการใช้งานทั่วไปเป็นหลักนะครับ เพราะผมเองก็ไม่เข้าใจเค้าหั้งหมดเหมือนกัน =)
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่า Automator นี่มีเอาไว้ใช้ทำอะไรแน่ ผมจะลองยกตัวอย่างแบบละเอียดกว่าโพสที่แล้วก็แล้วกันนะครับ เผื่อจะเห็นภาพได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างที่ 1
เช่น ผมมีไฟล์ภาพขนาด 3216x2136 pixel (หรือขนาด 8 Mega Pixel ที่ประมาณ 3.3 MB ต่อภาพ) มีทั้งหมดอยู่ 577 ไฟล์ในแฟ้มงานโปรเจคของผมใน My Document แล้วผมต้องการที่จะ
ผมมีทางเลือกระหว่าง
และจากการใช้ Automator เพื่อลดขนาดรูปจาก 3216x2136 pixel มาที่ 1600x1200 pixel จากเดิมขนาด 3.3MB โดยประมาณต่อภาพ เหลือที่ประมาณ 300KB ต่อภาพ ทั้งหมดผมใช้เวลาประมาณ 12 นาทีโดยประมาณ .. และเป็นการทำงานแบบ สั่งทีเดียวจบครับ ผมสามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีก.. (อันนี้นั่งจับเวลาเองกับมือครับ ตอนที่ทำ slideshow งานแต่งให้เพื่อนผม)
มาต่อกันที่การเปลี่ยนชื่อ เสียดายที่ภาพงานแต่งเพื่อนของผมไม่ต้องเปลี่ยนชื่อผ่าน automator ครับ เลยไม่มีตัวเลขยืนยันแน่นอน มีแต่จะที่ลองเองกับชุดภาพถ่ายส่วนตัวจำนวน 83 ไฟล์ภาพใช้เวลาประมาณไม่ถึง 2 วินาทีในการเปลี่ยนชื่อทั้ง 83 ภาพใหม่ และยังมีลำดับการเรียงภาพเหมือนเดิมครับ
ที่จะเสียเวลาจริง ๆ คือการสร้าง workflow ของ automator ครับ สำหรับตัวผมเองคิดว่า เรียนรู้ตรงนี้ไว้เองดีกว่า อย่างน้อย ถ้าเขียน workflow เสร็จไปแล้ว เราก็เก็บไว้ใช้อีกได้เรื่อย ๆ และสามารถสร้าง workflow ที่เราต้องการเพิ่มเองได้อีกในอนาคตครับ =)
ตัวอย่างที่ 2
ถ้าเรามี workflow ที่ใช้เป็นประจำอยู่เยอะ ๆ แล้ว .. ในตัว Automator เองเปิดโอกาสให้เราเซฟ workflow ที่เรามีเอาไว้ในเมนูบน Finder แล้วเรียกใช้งานโดยการคลิ๊กขวาบนเมาส์ (หรือกด Ctrl+Click) ได้แบบนี้ครับ
ทำให้เราไม่ต้องเปิด Automator ขึ้นมาทุกครั้งในการทำงาน และสามารถแจกให้กับ Mac เครื่องอื่นทำงานแบบเดียวกันนี้ได้อีก =)
note : ดู การ save workflow ใน Automator ประกอบ
ตัวอย่างที่ 3
ผมสามารถเปลี่ยน workflow ที่มีอยู่ใน Automator แล้วสร้างโปรแกรมเล็ก ๆ แบบ stand alone ขึ้นมาทำงานเฉพาะอย่างได้ ซึ่งโปรแกรม stand alone หรือว่า script โปรแกรมเล็ก ๆ เหล่านี้ ทำงานได้ด้วยตัวของเค้าเองครับ คือไม่จำเป็นต้องเรียกผ่าน Automator และยังสามารถทำงานแบบเดียวกันได้อีกบน Mac OS X เครื่องอื่น ๆ ด้วย
สรุป
จากตัวอย่างการใช้งาน Automator ที่ผมเขียนทั้งหมดนี้พอจะเห็นภาพขึ้นบ้างไหมครับ?
จริง ๆ Automator สามารถประยุกต์ไปได้อีกสารพัดแบบเลยครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจินตนาการไปได้แค่ไหน ลองเล่นกันดูนะครับ ขอให้มีความสุขในการใช้งาน Automator ครับ =)
หน้าตาและส่วนประกอบทั่วไปของโปรแกรม Automator
อธิบาย
ส่วนที่1,ส่วนที่ 7
ส่วน Toolbar : ด้านซ้ายจะมีปุ่มเปิด/ปิดการแสดง library และปุ่ม media สำหรับเข้าไปดึง content มาจากในโปรแกรม iLife ทางด้านขวาจะเป็นปุ่มคำสั่งดังนี้
ส่วนที่ 2เลือกสลับระหว่าง Library กับ Variables :
ส่วนที่ 3.Library : Actions category : เป็นการรวมหมวดหมู่ของชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกันเข้าไว้ด้วยกัน แยกเป็นหัวข้อต่าง ๆ เช่น Calendar ก็จะเป็นชุดคำสั่งเกี่ยวข้องกับ iCal หรือ Files & Folder จะเป็นชุดคำสั่งเกี่ยวข้องกับการจัดการ file/folder เป็นต้น
ส่วนที่ 4
Actions : เป็นชุดคำสั่งในแบบต่าง ๆ
ส่วนที่ 5
รายละเอียดของ Action ที่เราเลือก : ซึ่งจะเป็นตัวบอกเราคร่าว ๆ ว่าคำสั่งที่เรากำลังจะใช้งานอยู่นั้น ต้องการ Input แบบไหน และให้ Result เป็นอะไร
ส่วนที่ 6
Workflow pane : ส่วนนี้จะเป็นที่เอาไว้สำหรับให้เรานำคำสั่งมาต่อกันเพื่อทำเป็น workflow วิธีการใช้งานคือ เลือกคำสั่งจากทางด้านซ้ายมือ หรือจากหัวข้อที่ 4 แล้วลากมาวางตรงส่วนนี้ แล้วทำซ้ำต่อ ๆ กันไป เมื่อทำไปได้สักพักแล้วจะมีหน้าตาประมาณนี้ครับ
ส่วนที่ 7
ปุ่ม Record และ Play/Stop อธิบายไว้แล้วในส่วนที่ 1
เนื้อหาของบทความนี้ประกอบด้วย
ก่อนเริ่มเรามีคำศัพท์ที่ต้องทราบเกี่ยวกับ workflow นะครับ
ส่วนประกอบของ Action ใน Workflow pane
อธิบาย
1.เป็นส่วนชื่อของ Action นั้น ๆ จะบอกเราคร่าว ๆ ว่า action นี้จะเอาไว้ทำอะไร พร้อมกับมีไอคอนที่เกี่ยวข้องบอกเราเอาไว้ด้วย (จากในรูปเป็นไอคอนของ Finder ที่จะบอกว่า action นี้เกี่ยวกับการจัดการ file/folder ผ่าน Finder ครับ)
2.เป็นส่วนรายละเอียดของ Action ซึ่งแต่ละ action ที่เราเลือกจะมีรายละเอียดตรงนี้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเฉพาะกิจแค่ไหนและเกี่ยวกับ app อะไรบ้าง บาง action ก็ไม่มีรายละเอียดตรงนี้ให้เลือกครับ จากตัวอย่างคือ Move Finder Items จะเป็นการสั่งย้าย file ต่าง ๆ มาไว้ที่ผมต้องการ ซึ่งในส่วนของรายละเอียดตรงนี้จะให้ผมกำหนดว่า ต้องการที่จะย้ายไฟล์มาไปไว้ที่ไหน โดยเลือก To : ครับ
3.เป็นส่วนของ Option หรือว่ากำหนดรายละเอียดปลีกย่อย จะมีให้เลือก 3 ตัวคือ
4.ส่วน Input/Output(Results) ตรงนี้จะเป็นการบอกเราคร่าว ๆ ว่า action ที่เราจับมาใส่สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ถ้าทำงานร่วมกันได้ ก็จะเห็นเป็นลักษณะลูกศรลงต่อเนื่องมาแบบในภาพตัวอย่าง
ความเกี่ยวข้องกันตรงนี้ดูได้จาก Input/Output ของแต่ละ action ครับ ตามปรกติแล้ว Output/Results ของ action ตัวบน(หรือว่าก่อนหน้า) มักจะเป็น Input ของ action ตัวล่างหรือว่าตัวที่อยู่ถัดลงมาครับ
action แต่ละตัวจะทำงานร่วมกันได้ Input/Output ต้องตรงกัน หรือเป็นไฟล์ประเภทเดียวกันถึงจะทำงานได้ เช่น จากภาพตัวอย่าง
จากภาพตัวอย่างด้านบนนี้ Output/Results จาก action ด้านบนเป็น Files/Folders แบบเดียวกับ Input ของ action ตัวล่าง แบบนี้การทำงานจะไม่ค่อยมีปัญหา ในทางกลับกัน ถ้าเราจับเอา Input/Output(Results) ที่ไม่ตรงกันมาชนกัน ส่วนใหญ่จะ error ครับ
note : ถ้าเราต้องการลบ Action ใน workflow ของเรา ให้ไปคลิ๊กที่ปุ่มกากบาท “X” ที่มุมขวาบนของแต่ละ action ครับ
Log pane : ดูว่ามีอะไรผิดพลาดใน workflow ของเราบ้าง
การ test workflow ทำได้โดยการกดปุ่ม Run ที่ด้านบนขวาของหน้าต่าง Automator ครับ
ถ้าเรา test workflow ที่ Input กับ Output ไม่ตรงกันแล้ว จะมี error ขึ้นมาในด้านล่างตรง log ครับเมื่อกดเข้าไปดูก็จะมีรายละเอียดแจ้งเราว่ามีอะไรผิดพลาดบ้าง หลังจากที่เรา Test workflow ของเราด้วยการกดปุ่ม play แล้ว ที่ status bar ด้านล่างของ automator จะแสดงข้อความบอกเราครับ และถ้ามีอะไรผิดพลาดเค้าจะแจ้งให้เราทราบตรงนี้
ดู ตัวอย่างการสร้าง workflow ประกอบ
หลักการทำงานโดยทั่วไปบน Automator
เราจะสร้าง workflow ใน Automator ได้มีขั้นตอนคร่าว ๆ แบบนี้ครับ
1.เลือกกลุ่มคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ app ต่าง ๆ
2.เลือกคำสั่ง (Actions) ที่เราต้องการจากนั้นลากเค้าเอามาไว้ในส่วนที่ 3
3.เป็นที่รวมรวมคำสั่งต่าง ๆ ที่เราเลือกมาครับ หลักการทำงานของคำสั่งจะไล่ลำดับจากบนลงล่าง เมื่อเรียง workflow เป็นชุด ๆ แล้วจะมีหน้าตาประมาณนี้ครับ
4.ปุ่ม Run : ใช้เพื่อการทดสอบ workflow ที่เราสร้างเอาไว้ว่ามีอะไรผิดปรกติในการทำงานหรือไม่ ถ้ามีสิ่งผิดปรกติ ไม่ว่าลำดับหรือ input/output ไม่ถูกต้องเค้าจะฟ้องเตือนเราขึ้นมาตรงนี้ครับ แนะนำว่าควรจะทำการทดสอบ workflow จากตรงนี้ว่าใช้งานได้จริงก่อนที่จะ Save ออกไป
5.หลังจากสร้าง workflow ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราต้องการแล้ว ก็ต้อง save เอาไว้ครับ ใน Automator ไปที่เมนูบาร์เลือก File/ Save.. โดยเลือกอันใดอันหนึ่งครับ ส่วนรายละเอียดของการ Save แบบต่าง ๆ ดูได้จาก link ด้านล่างประกอบ ก็เป็นอันจบการสร้าง workflow ของเราครับ =)
สำหรับการ Save ไฟล์ในแบบต่าง ๆ ดู การ Save workflow ของเราไปใช้งานในลักษณะต่าง ๆ ประกอบ
เมื่อเราสร้าง Workflow บน Automator เสร็จแล้ว ที่เราต้องทำต่อมาคือ Save workflow นั้นไว้ใช้ครับ และในบทความนี้จะเขียนอธิบายถึงการ Save workflow ไปใช้งานในลักษณะต่าง ๆ
Save :
เป็นการ save แบบปรกติเป็น workflow ทั่วไปโดยจะเป็นไฟล์ที่ต้องสั่ง Run ผ่าน Automator เท่านั้น
Save As... :
ให้เราเลือก Save workflow ระหว่าง
Save As Plug-in... :
จะเป็นการ Save เพื่อเป็นส่วน Plugin เพิ่มความสามารถให้กับ App ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วบน OS X ครับ เช่น Finder เมื่อเราเลือกหัวข้อนี้ จะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมาถามแบบนี้
อธิบาย
มีวิธี setup Folder Actions
หลังจากที่ Save workflow เป็น Folder actions เรียบร้อยแล้ว บางครั้งจะมีช่องให้ติ๊ก Enable Folder Actions ตาม Folder ที่เรากำหนดให้เลย แต่บางทีก็ไม่มีครับ ถ้าไม่มี เราสามารถที่จะ Enable Folder Actions เองได้ด้วยวิธีนี้
ขั้นตอนที่1.ไปที่ Folder ที่เราต้องการจะผูก workflow ที่เรา save เอาไว้ แล้วคลิ๊กขวา (Ctrl+Click) เลือก More/Config Folder Actions
ขั้นตอนที่ 2.จะมีหน้าต่างใหม่แสดงขึ้นมา ให้กำหนดค่าตามนี้ครับ
วิธีใช้งานก็ให้ลาก file ลง folder ที่ตั้งเอาไว้ได้เลย แล้วจากนั้นจะมีการทำงานแบบอัตโนมัติตาม workflow ของเราเกิดขึ้น
note : สำหรับการตั้ง folder actions นี้ ผมคิดว่าบน 10.5 ทำงานแบบผีเข้าผีออกอยู่ครับ คาดว่าน่าจะเป็น bug (ปัจจุบัน 10.5.5 แล้วปัญหานี้ก็ยังไม่หาย) คือคุณสั่งงาน 2 ครั้ง ให้ผลไม่เหมือนกัน หรือไม่ก็หยุดการทำงานไปกลางทางเอาดื้อ ๆ แบบไม่มีเหตุผล .. ถ้าต้องการใช้ workflow นี้จริง ๆ ให้เลี่ยงไปใช้การ save แบบอื่นหรือว่า save เป็น application แทนครับ เวลาใช้ก็ลากไฟล์ลงตัว application ซึ่งให้ผลเหมือนกัน และผิดพลาดน้อยกว่ามากครับ
วิธีลบ Workflow ที่เรา Save เป็น Plug-in เอาไว้แล้วออกจากส่วนต่าง ๆ ของเครื่อง
workflow ที่ถูก save เข้าไปเป็น Plug-in ยังส่วนต่าง ๆ ของ OS X นี้ ถ้าเราต้องการแก้ไข้หรือต้องการเอาออก ให้เปิด Finder ขึ้นมาแล้วไปที่
Home Folder (แฟ้มด้านซ้ายรูปบ้าน เป็นชื่อเราเอง) /Library/Workflows/Applications
แล้วเราจะเห็นส่วนต่าง ๆ ที่เราเลือกเอาไว้แบบนี้ครับ .. จากนั้นอยากจะเอาตัวไหนออกก็ลบได้เลย
หรือในทางกลับกัน ถ้าเราโหลด Folder Actions มาจากใน Internet ก็ให้จับมาใส่ไว้ในนี้เพื่อที่จะได้เรียกใช้งานได้นะครับ
Tips :
เมื่อเรา save ไฟล์ออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบ workflow, application หรืออื่น ๆ เราสามารถที่จะใช้ Automator เพื่อทำการแก้ไชไฟล์นั้นได้ครับ สังเกตความแตกต่างได้จาก title ตอนบนของหน้าต่าง Automator ครับ
แบบ Workflow ปรกติ
แบบ Application
ในส่วนนี้จะเป็นตัวอย่างการสร้าง workflow จาก automator ที่ผมทำเอาไว้สำหรับใช้งานเองด้วยส่วนหนึ่ง และเพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง workflow ขึ้นมาเองสำหรับผู้สนใจทั่วไปนะครับ
เนื้อหาในส่วนนี้ประกอบไปด้วย
ถ้าพบข้อผิดพลาด หรือไม่เข้าใจตรงไหนก็ทิ้งคำถามเอาไว้ได้จากใน comment หน้านั้น ๆ
หรือจะอีเมล์มาหาผมก็ได้ที่ kok[แอด]macmuemai.com ครับ =)
ขอให้มีความสุขในการใช้งาน Automator ครับ
ก๊อก
note : ถ้าหัวข้อทางด้านซ้ายใน How-Tos ซ้อนกันจนอ่านไม่รู้เรื่อง ให้เลือกจากรายการด้านล่างนี้ หรือจาก Automator Sample tags ทางด้านซ้ายมือครับ
ผมมีความตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับ workflow ตัวนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้วแต่ก็ทำนู่นทำนี่ลืมจนลืมในที่สุด จนมีกระทู้จากคุณ od2504 ที่มาถามเกี่ยวกับวิธี rename ไฟล์เป็นกลุ่ม ผมเลยอยากที่จะอธิบายตรงนี้แบบละเอียดตามที่ตั้งใจเอาไว้
ก่อนอื่น นี่เป็นบทความเกี่ยวกับตัวอย่าง workflow ที่ผมใช้งานจริง ดังนั้นโปรดอ่านเกี่ยวกับพื้นฐานการใช้งาน Automator ตามหัวข้อด้านล่างนี้ก่อนสำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้นะครับ
โดยเนื้อหาบทความนี้จะแบ่งเป็น 2 ตอน
เลือกดูได้จากหัวข้อด้านล่างนี้นะครับ =)
ขั้นตอนที่ 1
เปิด Automator ขึ้นมา เพื่อสร้าง workflow มี welcome screen ขึ้นมาให้เลือก Custom แล้วเราจะได้หน้าเปล่า ๆ ของ Automator ขึ้นมา
ขั้นตอนที่ 2
สร้าง workflow ตามนี้
Action ที่ 1 = Get Selected Finder Items (จากหมวด Files & Folders)
Action ที่ 2 = Rename Finder Items (จากหมวด Files & Folders) - ให้เลือก Options Show workflow when it runs ด้วย
เสร็จแล้วจะได้หน้าตาประมาณนี้ครับ
อธิบาย
ขั้นตอนที่ 4
ทดสอบ workflow นี้ด้วยการเลือกไฟล์ที่ต้องการเอาไว้ จากนั้นสั่ง RUN ครับ
ขั้นตอนที่ 5
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เราต้องการแล้ว ให้ Save workflow นี้ออกมาเป็นแบบ Application ครับ จากนั้นก็จับเข้ามาวางไว้ใน Toolbar ของ Finder เพื่อที่จะสามารถเรียกใช้ workflow นี้ได้จาก Finder ครับ (ไม่ต้องเปิด automator มาสั่งงานอีกต่อไป)
ดูรายะเอียดการ Save ในการนำ workflow มาทำงานกับ Finder ได้จากในนี้ครับ (ใช้วิธีการเดียวกัน)
http://macmuemai.com/content/538
หมดแล้วครับ =)
อธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ของการเปลี่ยนชื่อไฟล์แบบ Sequential
1.เลือกการเปลี่ยนชื่อไฟล์แบบ Make Sequential จะเป็นการใส่ลำดับเลขลงไปในชื่อไฟล์ครับ เช่น
2.Add number to : จะเป็นการเลือกว่าจะเพิ่มลำดับอย่างไร
3.รายละเอียดการใส่ลำดับ
⁃ before name : ใส่ลำดับไปก่อนชื่อไฟล์
⁃ after name : ใส่ลำดับลงไปหลังชื่อไฟล์
⁃ dash : ใช้เครื่องหมาย “-” (ลบ)คั่น เช่น abc-01.jpg
⁃ period : ใช้เครื่องหมาย “.” (จุด)คั่น เช่น abc.01.jpg
⁃ space : เป็นการเว้นวรรค เช่น abc 01.jpg
⁃ under score : ใช้เครื่องหมาย “_” (ขีดล่าง)คั่น เช่น abc_01.jpg
⁃ nothing : ไม่มีอะไรคั่น เขียนติดกันทั้งชื่อไฟล์กับลำดับ abc01.jpg
⁃ 1 digit log = เลขหลักเดียว เช่น abc-1.jpg
⁃ 2 digit log = เลขสองหลัก เช่น abc-01.jpg
⁃ 3 digit log = เลขสามหลัก เช่น abc-001.jpg
4.ให้เลือก Options : Show this action when the workflow runs เอาไว้ด้วย เวลาสั่งให้เค้าทำงานเราจะได้ตั้งรายละเอียดได้ครับ
ในบทความนี้จะเป็นตัวอย่าง workflow ที่ผมทำขึ้นง่าย ๆ มีจุดประสงค์เพื่อให้เห็นภาพขั้นตอนและแนวคิดในการสร้าง workflow ไว้ใช้เองในเบื้องต้น
ตัวอย่างที่ผมเลือกมาทำคือ การย่อรูปครั้งละเยอะ ๆ ครับ .. คิดว่าหลาย ๆ คนยังไม่ทราบตรงนี้ และน่าจะที่ได้เอาไปใช้เองได้อีกในอนาคตเพราะมีขั้นตอนที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนมากนัก โดยจะมีเนื้อหาดังนี้
note : ให้ลองเปิด Automator แล้วมั่วไปด้วยกันเลยครับ
ขั้นตอนที่ 1 :
เรียกใช้งาน Automator ขึ้นมาจากใน Applications/Automator.app เราจะเจอหน้าต่าง welcome screen แบบนี้
อธิบาย
ขั้นตอนที่ 2:
เราจะเข้าสู่หน้าต่างของ Automator พร้อมกับมี Action 1 อันมาให้แล้วคือ Ask for Finder Items
ขั้นตอนที่ 3:
อธิบาย
ขั้นตอนที่ 4:
จะมีหน้าต่างมาถามเราขึ้นมามีใจความว่า Action นี้จะทำการเปลี่ยนแปลงไฟล์ภาพต้นฉบับนะ เราต้องการที่จะสร้างสำเนาเอาไว้หรือไม่
ให้เลือก Add เพื่อเป็นการสร้างสำเนาไฟล์ต้นฉบับเอาไว้อีกชุดหนึ่งกันพลาด
note : สำหรับคนที่แม่นแล้ว หรือว่าทำเสาเนาไฟล์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก็เลือกข้ามตรงนี้ไปก็ได้ครับ ซึ่งถ้าเลือกข้ามตรงนี้ไป (Don’t Add) ก็จะไม่มี Action Copy Finder Items โผล่ขึ้นมาเหมือนขั้นตอนต่อไปนะครับ =)
ขั้นตอนที่ 5:
หลังจากเราเลือก Add ไปแล้ว จะเห็นว่าจะมี workflow เพ่ิมขึ้นมาคั่นตรงกลางระหว่างอันแรก (1) ที่เราสร้างเอาไว้แต่เดิม กับ Scale images (2)ที่เราเลือกเข้าไปครับ
workflow อันนี้มีชื่อว่า Copy Finder Items จะเป็นการสร้างสำเนาไฟล์ที่เรานำมาใส่ใน workflow ไว้อีกชุดหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนขนาดครับ ซึ่งสรุปแล้ว หลังจาก workflow ชุดนี้ทำงาน เราจะได้ไฟล์ภาพสุดท้าย 2 ชุดด้วยกันคือ
หมดแล้วครับ จากนั้นก็กดปุ่ม Run ด้านมุมบนขวามือเพื่อทำการใช้งาน workflow ที่เราเพิ่งสร้างเสร็จไป.. ลองกด Run ดูนะครับ หรือจะลองเปลี่ยนค่าที่มีให้เลือกตรงรายละเอียดของแต่ละ Action ดู ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด workflow จะทำให้เกิดเหตุการณ์ประมาณนี้ขึ้นมาครับ
สำหรับการสร้าง workflow การย่อรูปหลัก ๆ จะมีแค่นี้ครับ แต่ผมจะเขียนต่อเพื่ออธิบายถึงขั้นตอนต่าง ๆ แบบละเอียดต่อไปนะครับ
Action #1 : Ask For Finder Items
เป็น action แรกที่เราสร้างขั้นมาจากหน้าต่าง welcome screen ตอนเปิด automator ขึ้นมา
note : ในหัวข้อ Type ถ้าเลือกเป็น Folder ไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนขนาดภาพเกิดขึ้นจาก Action ที่ 3 แต่จะมีการทำสำเนาเกิดขึ้นจาก Actions ที่ 2 ครับ เพราะ Action ที่ 2 : Copy Finder Items นั้นรองรับกับข้อมูลแบบ Folder ได้ด้วย... ถ้ายังงงอยู่ ก็ลองเลยครับ =)
Action #2 : Copy Finder Items
Action นี้จะทำหน้าที่ copy files/folder ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจาก action ด้านบน แล้วทำสำเนาขึ้นมาใหม่ยังปลายทางที่เราต้องการครับ
Action #3 :Scale Images เป็นคำสั่งเปลี่ยนขนาดของไฟล์ภาพ
โดยทั่วไปเราสามารถกำหนดการเปลี่ยนขนาดไฟล์ภาพได้ 2 แบบคือ
Tips
ถ้าเราต้องการกำหนดขนาดเองทุกครั้งที่ workflow ทำงาน เราสามารถทำได้ โดยเลือกไปที่ Options (ใน Scale Images นี่ล่ะครับ) แล้วเลือก Show this action when the workflow runs
ซึ่งถ้าเราเลือกตรงนี้ไปแล้ว และสั่ง Run workflow ให้ทำงาน จะมีหน้าต่างนี้ขึ้นมาถามเราครับ ให้เรากำหนดได้ว่าจะย่อรูปแบบไหน ที่ขนาดเท่าไหร่
ผมแบ่งเนื้อหาตัวอย่างของ workflow ย่อรูปออกเป็น 2 ตอนนะครับ เพื่อสะดวกในการเปิดหน้าเวป .. จากตรงนี้เป็นอันหมดเนื้อหาในตอนที่ 1 แล้ว เข้าไปอ่านตอนที่ 2 ได้ที่ http://macmuemai.com/content/538
เป็นตอนที่ 2 ต่อจาก Automator : ตัวอย่าง workflow #1/2 - ย่อรูปทีละเยอะ ๆ ในคลิ๊กเดียว นะครับ เนื้อหาในตอนนี้จะต่อเนื่องมาจากตอนที่แล้วที่หลังจากสร้าง workflow และรู้จักการทำงานของเค้าไปบ้างแล้ว เนื้อหาในตอนนี้จะกล่าวถึง
เมื่อเราสร้าง workflow เสร็จไปแล้วใน Automator แต่ผมต้องการที่จะใช้งาน workflow นี้แบบรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิด Automator ขึ้นมาสิ่งที่ผมต้องทำมีตามนี้ครับ
note : ดูเรื่อง Automator : การ Save workflow ของเรา ประกอบ
ขั้นตอนที่ 1
ในหน้า Automator ของเราที่เพิ่งทำเสร็จไป ให้ไปที่เมนูบาร์เลือก File/ Save as..
จะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมา ให้กำหนดค่าตามนี้ครับ
จริง ๆ จะหมดแค่ตรงนี้ก็ได้ครับ แต่ถ้าเราต้องการใช้งาน workflow ให้สะดวกกว่านั้น ให้ดูขั้นตอนต่อไปครับ จะเป็นการนำ workflow ที่เรา save ไว้เป็น application นี้มาฝังอยู่ใน Finder ของเรา
ขั้นตอนที่ 2
ใน Finder ให้ browse ไปยังที่ ๆ เรา save เค้าเอาไว้จากขั้นตอนด้านบน เราจะเห็นว่า สัญลักษณ์ไฟล์เป็น icon ที่ไม่เหมือนเรา Save workflow ตามปรกติ คือถ้าเราเลือก save แบบ Application เค้าจะมีหน้าตาแบบนี้ (เหมือนหุ่นยนต์ครับ)
note : สำหรับ workflow ที่เรา save ไว้แบบ application นี้ เค้าจะเหมือน app ทั่วไปตามปรกตินะครับ สามารถที่จะนำไปใช้เพื่อทำงานแบบเดียวกันบนเครื่อง Mac เครื่องอื่นได้
ขั้นตอนที่ 3
ใน FInder ให้คลิ๊กที่ icon ของ workflow ที่เป็นแบบ Application นี้ แล้วลากเค้ามาไว้บนที่ว่างของ Toolbar ใน Finder ครับ (ต้องค้างเอาไว้สักครู่นึง)
แล้วเราจะได้แบบนี้..
ซึ่งหลังจากนี้ต่อไปถ้าเราต้องการจะเรียกใช้งาน workflow นี้ก็สามารถคลิ๊กได้จากบน finder เราได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิด Automator ขึ้นมาแล้วครับ =)
note : บน Toolbar ของ Finder เราสามารถลาก app ต่าง ๆ มาเก็บเอาไว้ในนี้ได้เหมือนกันด้วยวิธีเดียวกันนี้ครับ
Tips
ถ้าเราต้องการให้ workflow นี้ทำงานจากไฟล์ที่เราเลือกเอาไว้เลยตอนที่สั่งงาน แทนที่จะต้องเลือกไฟล์ใหม่ทุกครั้งหลังจากสั่ง workflow ให้ทำงาน
ถ้าต้องการย่อภาพสำหรับลงในเวป
บทความนี้จะเป็นตัวอย่างการใช้งานเกี่ยวกับค่า Variables ของ Automator นะครับซึ่งจะนำ workflow จากบทความตัวอย่างสำหรับการย่อรูป มาปรับปรุงต่อกัน ซึ่งจะมีการข้ามเนื้อหาบางส่วนที่เคยเขียนไว้แล้วไป ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ก็ลองอ่านบทความนั้นก่อนเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหานะครับ
Variables : เป็นคล้าย ๆ ตัวแปรที่จะจำข้อมูลของผลลัพท์ที่เกิดขึ้นใน workflow แล้วนำมาใช้ตรงไหนก็ได้ของ workflow ครับ .. คือปรกติการทำงานของ workflow ทั่วไป จะทำงานแบบไล่จากบนลงล่าง เราจะสั่งข้ามขั้นตอนหรือว่าใช้ผลลัพท์จาก action อื่นมาเป็น input ไม่ได้.. แต่ Variables จะเป็นตัวช่วยให้เราทำตรงนี้ครับ ซึ่งทำให้เราสามารถสร้าง workflow ที่สลับซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมได้
workflow ปรกติเป็นประมาณนี้
ถ้าเราใช้ Variables ช่วย เราสามารถทำได้แบบนี้
note : ที่ไฮไลท์สีนำเงินคือความแตกต่างในการใช้ Variables เข้าช่วยครับ
ตัวอย่าง :
จากเดิมผมทำ workflow สำหรับย่อรูปปรกติทั่วไปแต่ผมต้องการเพิ่มขั้นตอนบางอย่างลงไปให้ workflow เดิมครับ มีโจทก์เป็นแบบนี้..
ผมต้องการให้ทุกครั้งที่มีการสั่ง workflow เพื่อย่อรูป จะมีการสร้าง folder ขึ้นมาใหม่แบบอัตโนมัติ (จะตั้งชื่อเองหรือไม่ก็ได้) แล้วย้ายไฟล์ที่ย่อแล้วไปไว้ใน folder นั้นทุก ๆ ครั้งเมื่อย่อรูปเสร็จแล้ว
จากตรงนี้ จะเห็นว่า แค่ย่อรูปกับสร้าง folder ขึ้นมาใหม่ workflow ปรกติก็สามารถทำได้อยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไร ให้มีการย้ายไฟล์รูปที่ย่อเสร็จแล้วลงไปใน folder ใหม่ ... ตรงนี้เป็นขั้นตอนที่ปรกติเราทำแบบอัตโนมัติไม่ได้ เราเลยต้องอาศัย Vaiables ช่วย
ภาพรวม
workflow ย่อรูปของเดิมเป็นแบบนี้
workflow ใหม่จะแทรก Action ต่อไปนี้ลงไป (Action ใหม่จะเป็นสีแดง)
อธิบาย
เปิด workflow สำหรับย่อรูปของเราที่ save เอาไว้ขึ้นมา (ใครยังไม่มี ลองทำตามในบทความก่อนหน้านี้นะครับ )
ขั้นตอนที่ 1
แทรก Action : New Folder จากในหัวข้อ Files & Folders มาไว้ในขั้นตอนแรก ถ้าต้องการตั้งชื่อ Folder ใหม่เองตอน workflow ทำงาน ให้เลือก Options : Show this action when the workflow runs ครับ
note : ถ้าใครยังสร้าง workflow ไม่คล่อง รบกวนดู ตัวอย่าง workflow สำหรับย่อรูป ทั้ง 2 ตอนประกอบนะครับ
ขั้นตอนที่ 2
แทรก Action : Set Value for Variables (ในหัวข้อ Utilities) เป็น Action ที่ 2 ครับ
เมื่อแทรกเข้ามาแล้ว หน้าตาของ Action : Set Value for Variables จะเป็นแบบนี้
เสร็จแล้วจะได้หน้าตา workflow ใหม่ประมาณนี้ครับ (ผมพับ workflow บางอันเก็บไป เปิดเฉพาะอันที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใหม่นะครับ)
สังเกตว่า Action 2 กับ Action 3 นั้นไม่เชื่อมต่อกันนะครับ หมายความว่า workflow นี้จะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ชุดด้วยกัน
วิธีแบ่ง workflow ให้ทำแบบนี้ครับ
ไปคลิ๊กขวา (Ctrl+Click) ที่ Action : Ask for Finder Items แล้วเลือก Ignore Input
แล้วเราก็จะได้หน้าตาของ workflow แบบนี้มา
note : สังเกตดูว่า Actions ไม่ต่อกันแล้วนะครับ
ขั้นตอนที่ 3
ใน Action ที่ 2 ให้คลิ๊กไปที่คำว่า New variable.. ในช่องที่มีให้เลือก
จะมี pop up หน้าต่างใหม่เล็ก ๆ ขึ้นมาให้เราตั้งชื่อ Variables นี้ครับ
เค้าจะตั้งมาให้เองว่า New Storage ส่วนถ้าใครต้องการจะเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นก็ทำได้จากตรงนี้ครับ แต่ในบทความนี้ผมอ้างอิงกับคำว่า New Storage เป็นหลัก จากนั้นกด Done แล้วจะเราจะเห็นช่อง Variable แสดงขึ้นมาที่ด้านล่าง workflow pane พร้อมด้วยค่า New Storage เป็น Variable ที่เราเพิ่งสร้างไปตะกี๊ขึ้นมาครับ ตามรูปนี้
การสร้าง Variables ในขั้นตอนนี้ จะหมายถึงการจำค่า Folder ที่เราสร้างใหม่นี้เอาไว้ ทั้งชื่อ Folder และ Path มายัง Folder นี้ครับ
ขั้นตอนที่ 4
จากหน้าต่าง Variable นี้ ให้เราคลิ๊กตัว New Storage แล้วลากขึ้นมาไว้แทนตำแหน่ง To ของ Action : Copy Finder Items ครับ แบบนี้
แล้วเราจะได้ผลลัพท์แบบนี้
เสร็จแล้วครับ ภาพรวมของ workflow ที่เสร็จแล้วจะได้แบบนี้
จะเห็นว่ามีตัว Variable แทรกอยู่ 2 จุด คือ
จากนั้นลองสั่ง RUN workflow ใหม่นี้ดูถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะมี folder เกิดขึ้นใหม่ และภาพที่ย่อขนาดแล้วจะถูกนำมาใส่ไว้ใน folder นี้ครับ
หมดแล้วครับ หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานแมคมือใหม่ขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
ก๊อก